top of page
Featured Posts

[ความสงสัยไม่รู้จบ] เทศกาลตรุษจีน จากวันไหว้สู่ภัยเงียบ

  • สินิทธ์ ปนุตติกร
  • Jan 23, 2020
  • 1 min read

ในทุกๆปี เข้าเทศกลาตรุษจีนทีไร สารภาพว่ามีความอึดอัดใจเกิดขึ้นเสมอ

ด้วยความเป็นลูกหลานคนจีน แน่นอนว่าประเพณีคือสิ่งพึงปฏิบัติมาตั้งแต่รุ่นอากง-อาม่า ยาวนานมาจนถึงรุ่นนี้ และเท่าที่จำได้สิ่งที่ทำต่อเนื่องกันมาคือการเตรียมตั้งโต๊ะอาหาร และเตรียมสถานที่สำหรับการเผากระดาษเงินกระดาษทอง ส่วนที่เหลือเหล่าญาติผู้ใหญ่เป็นคนจัดการต่อ ซึ่งเราก็สงสัยเหลือเกิน (สงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้ว) ว่าไอ้ทั้งหมดเนี่ย ทำไปเพื่ออะไร

….

อาหารที่ไหว้หลักๆก็จะมี เป็ดพะโล้ ไก่ต้ม หมูสามชั้น ปลานึ่ง ผัดหมี่ซั่ว บางปีมีมากกว่านี้ แล้วแต่สถานะการเงินช่วงนั้น

ส่วนของหวานเป็นขนมเข่ง ขนมถ้วยฟู ถั่วตัด และมีผลไม้นานาชนิด อาทิ ส้ม กล้วย แอปเปิ้ล สาลี่ และผลไม้กระป๋อง จำได้คร่าวๆประมาณนี้

โดยอาหารแต่ละอย่างมีความหมายในตัวของมันอยู่ แต่สรุปความรวมๆได้ว่าเพื่อสุขภาพที่ดี มีเงินไหลมาเทมา มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีความอุดมสมบูรณ์แก่ชีวิตตลอดทั้งปี ที่สำคัญคือให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับได้รับประทานของดีๆอย่างน้อยปีละครั้ง

นี่คือความเชื่อของการทำพิธี ทีนี้เรามาว่ากันตามความจริงกันบ้าง

ความจริงคือของกินที่ว่ามาทั้งหมดไม่ดีต่อสุขภาพเลยสักอย่าง แม้แต่ผลไม้ก็เป็นชนิดที่น้ำตาลสูงทั้งสิ้น!?

บรรพบุรุษจะได้กินไหม-ไม่รู้ ชีวิตจะดีขึ้นไหม-ไม่แน่ แต่ที่แน่ๆคือพอจบพีธี คนที่ยังอยู่ตรงนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบอาหารทั้งหมด ซึ่งสะสมนานปีเข้า พวกคอเลสเตอรอล เบาหวาน ความดัน ไขมันในเส้นเลือด ฯลฯ มีปัญหาแน่นอน

เหล่าผู้ใหญ่ที่ว่าสุขภาพแย่ๆก็ยังจะกิน บางรายไม่กินก็ยกให้ลูกหลาน ผลักภาระมาให้เยาวชนสะสมโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่เนิ่นๆอีก ไม่ห่วงว่าอนาคตเราจะต้องป่วยโรคเดียวกับพวกคุณบ้างหรือ?

แล้วอาหารพวกนี้ราคาไม่ใช่ถูกๆ และยิ่งนับวันยิ่งราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับเศรษฐกิจที่ค่อยๆตกต่ำลง นี่ไม่ถือว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็นหรอกหรือ??

….

ส่วนการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เชื่อกันว่าเป็นการส่งเงินส่งทองไปให้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับได้ใช้สอยในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนาไปเผาบ้านกระดาษ รถกระดาษ กระทั่งสมาร์ทโฟนกระดาษก็มีแล้ว (ซึ่งเราตลกมาก เพราะขนาดลุงๆป้าๆยังมีชีวิตอยู่ยังใช้ไม่เป็นเลย แล้วบรรพบุรุษตายไปตั้งแต่สมัยไหน เผาไอโฟนไปเขาจะใช้เป็นไหมเนี่ย)

ย้อนกลับไปสมัยจีนโบราณ ตอนนั้นยังไม่มีการเผาการะดาษ มีแต่นำสิ่งของฝังกลบไปกับพร้อมผู้วายชนม์ จากนั้นประเพณีก็เปลี่ยนไปตามเวลาจนมาใช้กระดาษเงินกระดาษทองมาโปรยหน้าหลุม ไม่ก็แขวนไว้หรือฝังกลบไปเหมือนสมัยก่อน จนถึงยุคที่ศาสนาความเชื่อจากดินแดนตะวันตกกับอินเดียเผยแพร่เข้ามา ที่เชื่อว่าการเผาสิ่งของเซ่นไหว้จะสามารถส่งไปถึงมือภูตผีเทพยดา จึงเริ่มปรากฏการเผากระดาษเงินกระดาษทองขึ้นในเมืองจีน และปฏิบัติต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน

สมัยเด็กเรามักถูกมอบหมายให้รับหน้าที่นี้ โดยถูกหลอกว่าเป็นการเล่นไฟสนุกๆ ซึ่งตอนนั้นบอกเลยว่ากูไม่สนุกด้วย แต่ไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงใดๆกับผู้ใหญ่ ก็จำใจเผาไป แสบตาแสบจมูกมาก สะสมนานจนเป็นภูมิแพ้ ไม่รู้ว่าไปเอาความสนุกส่วนไหนมาหว่านล้อมเรา

ไหนจะมีการจุดประทัด ที่สร้างมลพิษทั้งทางอากาศและทางเสียงอีกนะ

โตขึ้นมาเริ่มตระหนักได้ว่าการเผากระดาษเงินกระดาษทองนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดๆ มีแต่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการสร้างมลพิษทางอากาศ เคยแจ้งเรื่องนี้แก่ผู้ใหญ่ แต่กลับได้รับคำตอบมาว่าเราเผานิดเดียวเอง ไม่เป็นไรหรอก

แล้วไม่คิดหน่อยหรือ ว่าถ้าทุกบ้านเผานิดเดียวเหมือนๆกัน มันก็ใหญ่พอจะทำลายชั้นบรรยากาศได้ ยิ่งปัจจุบันมีฝุ่นควัน PM2.5 เข้าขั้นวิกฤต ก็ยังจะเผากันอย่างหน้าชื่นตาบาน (ทั้งที่ PM2.5 มีสาเหตุหลักจากการเผาไหม้มากกว่าไอเสียจากน้ำมันดีเซลอย่างที่เข้าใจกันเสียอีก)

นอกจากจะต้องห่วงน้ำตาลและไขมัน ยังต้องกังวลเรื่องสุขภาพปอดอีกด้วย

ตกลงจะยอมเสียสุขภาพเพื่อผู้ล่วงลับที่ไม่รู้ว่าจะสุขสบายจริงๆใช่ไหม ถ้างั้นจะส่งลูกหลานให้เรียนหนังสือกันไปทำไม ในเมื่อแม้แต่สังคมภายในบ้านซึ่งเป็นสังคมขั้นพื้นฐาน ยังไม่สามารถใช้การศึกษามาใช้พัฒนาได้เลย

ทั้งหมดมีแต่ทำลายสุขภาพ และทำลายสิ่งแวดล้อม ก็เลือกเอาเองละกัน ระหว่างหยุดทำลายทุกอย่างเพื่ออนาคตลูกหลานที่ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป กับอนุรักษ์ไว้เพื่อบรรพบุรุษที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับโลกใบนี้แล้ว!?

….

อีกหนึ่งเรื่องที่เราอึดอัดใจ คือวัฒนธรรมการให้แต๊ะเอีย (หรืออั่งเปา)

หลายคนชอบเข้าใจผิดว่าเราจะต้องรู้สึกยินดีที่ได้รับตังค์ฟรีๆแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ส่วนตัวเป็นคนไม่อินกับอะไรที่ได้มาง่ายๆตั้งแต่เด็กแล้ว และอึดอัดมากที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ กลายเป็นการยัดเยียดให้เราต้องรับ แล้วบังคับให้เราต้องดีใจ

หนำซ้ำยังตั้งเงื่อนไขว่า ให้เงินแล้วต้องตั้งใจเรียนนะ คอร์รัปชั่นเป็นแบบอย่างแก่เยาวชนอีก

เป็นแบบนี้มาตลอดจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยลงเรื่อยๆ ก็ยังอุตส่าห์จะแจกเงินกัน ไม่รู้จักออมทรัพย์ไว้บ้าง และเมื่อถึงวัยที่เราต้องให้บ้าง กลายเป็นว่าในสภาวะเศรษฐกิจรัดเข็มขัดที่ต้องประหยัดให้มาก กลับต้องเจียดเงินมาให้ลูกหลานที่บางทีเราก็ไม่ได้ผูกพันกับเขาเลย ให้เพียงเพราะเขามีเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันเท่านั้น

….

นี่คือประเพณีที่ทำเพื่อเจ้า ทำเพื่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ (ซึ่งป่านนี้กลับไปเกิดใหม่จนตายอีกรอบแล้วมั้ง) ทำเพื่อสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ไม่เคยทำเพื่อคนเป็นๆที่ยังต้องกินต้องใช้ต้องหายใจอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง

จนบางทีเราก็คิดนะ ว่าถ้าความเชื่อนี้ศักดิ์สิทธิ์จริง ทำไมไม่เคยมีใครมาพิสูจน์ให้เราเห็นกับตาบ้าง ว่าไอ้ที่ทำตามๆกันมานั้นเห็นผลอย่างไร

เพราะขนาดล่าท้าผียังทำได้ ตรุษจีนก็น่าจะเป็นเรื่องง่ายดายต่อการค้นหา

Comments


บทความที่น่าสนใจ

กลุ่มนัก(อยาก)เขียนห้าคน ที่ตกลงกันว่าจะเขียนอย่างน้อยคนละ 5 หน้า

contact us

unnamed.png
580b57fcd9996e24bc43c521.png
logo-gmail-9952.png

f i v e p a g e s a t l e a s t @ g m a i l . c o m

© 2023 by Noah Matthews Proudly created with Wix.com

bottom of page