[SPOIL & REVIEW] Parasite : ชนชั้นไหนเป็นปรสิต?
- สินิทธ์ ปนุตติกร
- Jul 26, 2019
- 2 min read

หากถามถึงภาพยนตร์ที่ดีที่สุดสำหรับเราในปี 2019 คือเรื่องอะไร
ถ้าไม่นับความติ่งจาก Avengers : Endgame แล้ว เราประทับใจเรื่อง Parasite มากกกกก
นานๆจะมีหนังเกาหลีเข้ามานั่งในใจสักเรื่อง และเรืองนี้ก็ทำได้ยอดเยียมมาก ทั้งแง่ของการดำเนินเรื่อง การแสดงของนักแสดงแต่ละคน และเนื้อหาที่สะท้อนโลกความเป็นจริงได้อย่างแทงใจดำ
และเชื่อว่ามีลุ้นออสการ์ติดมือมาสักรางวัลได้ไม่ยากเลย
....
* คำสำคัญประกอบบทความนี้
ครอบครัวคิม ตัวแทนชีวิตคนยากจนหรือชนชั้นรากหญ้า ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชายคนโตในวัยจบปริญญา และลูกสาวคนเล็กที่ควรจะกำลังเรียนมหา’ลัยอยู่
ครอบครัวปาร์ค ตัวแทนชีวิตมหาเศรษฐีหรือชนชั้นสูง ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกสาวคนโตที่กำลังมัธยม และลูกชายคนเล็กที่น่าจะเรียนอยู่ชั้นประถมตอนต้น
- ครอบครัวคิมที่รับจ๊อบพับกล่องพิซซ่าเพื่อหารายได้ แต่กลับทำไม่ได้มาตรฐาน จึงถูกบริษัทต่อว่ากลับมา แต่ครอบครัวนี้กลับไม่พอใจแล้วบอกว่าทำตามแบบทุกอย่างแล้ว มันผิดตรงไหน อุตส่าห์ทำมาให้แล้วจะเอาอะไรอีก สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของคนบางกลุ่มที่ไร้ความรับผิดชอบ และไม่พยายามพัฒนาตนเอง คิดว่าตนทำดีและไม่คิดจะทำให้ดีกว่านี้ แล้วใช้ความเห็นใจเป็นเครื่องมือในการเรียกร้องความชอบธรรม ซึ่งคนประเภทนี้มีให้เห็นกันโดยทั่วไป
อีกหนึ่งความอันตรายของแนวคิดประเภทนี้ คือการรับไม่ได้กับสิ่งที่แย่ แต่กลับยอมรับได้กับสิ่งที่แย่น้อยกว่า และพยายามไม่เปิดรับสิ่งใหม่ที่อาจจะดีกว่า แล้วจะชอบอ้างว่าคนนั้นยังแย่กว่าคนนี้เลย เหมือนรู้ว่านายกฯคนนี้ไม่ดี แต่ก็ยังดีกว่าคนก่อน จึงพอใจกับคนที่แย่น้อยกว่า และไม่เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆเข้ามาทำบ้าง
- จุดเปลี่ยนสำคัญของครอบครัวคิมคือการที่ลูกชายได้รับงานสอนภาษาอังกฤษที่บ้านปาร์ค แทนเพื่อนของเขาที่กำลังจะไปเมืองนอก แม้ว่าตัวลูกชายเองจะยอมจำนนถึงความเหมาะสมทางสถานะในทีแรก แต่ก็กลับลำมารับปากเพราะเพื่อนบอกว่าคุณนายปาร์คนั้นเป็นคน “ง่าย” แค่นั้นเลย ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
- และลูกชายคิมก็พบว่าคุณนายปาร์คนั้นก็ง่ายจริงๆเสียด้วย เพราะเอกสารต่างๆที่อุตส่าห์ให้น้องสาวปลอมแปลงอย่างแนบเนียนแทบตาย สุดท้ายคุณนายปาร์คไม่ได้สนใจรายละเอียดในเอกสารนั้นเท่าไรและรับเข้าทำงานทันที สะท้อนให้เห็นว่าผู้ปกครองบางคนก็หวังดีกับลูกจนไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยผ่านเรื่องสำคัญไป เพราะต้องการให้ลูกได้รับสิ่งดีๆโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะกับคนรวยบางคน ที่ติดนิสัยใช้เงินแก้ปัญหาแบบไม่มานั่งเสียเวลาคิดอะรให้ยาก ถ้าพลาดไปก็ใช้เงินใหม่ ยังไงก็มีเหลือใช้อยู่แล้ว
- ทว่า ลูกสาวปาร์คกลับไม่ได้สนใจเรื่องเรียนมากนัก แต่กลับมีใจให้ครูคนใหม่มากกว่า แสดงถึงในวัยมัธยมที่แม้จะใครจะบอกว่ายังไม่ถึง “วัยอันควร” แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์จะเริ่มมีความรู้สึกและค้นหาเรื่องเพศตรงข้ามในวัยนี้แหละ (ฉะนั้นเลิกเสียทีได้ไหม กับวาทกรรมวัยอันควรอะไรเนี่ย!?)
- ลูกชายคิมเองก็เล่นไปตามเกมพิศวาส หวังจะได้อยู่เก็บรายได้ราคางามที่บ้านหลังนี้นานๆ และโชคยิ่งเข้าข้าง เมื่อคุณนายปาร์คได้เข้ามาปรึกษาความกังวลเกี่ยวกับลูกชายที่ซุกซน สมาธิสั้นและสนใจแต่งานศิลปะสไตล์ประหลาดตา ลูกชายคิมจึงฉวยโอกาสหลอกว่าลูกชายปาร์คมีพรสววรค์ด้านศิลปะ และเขาเองก็มีเพื่อนเป็นครูสอนศิลปะลักษณะศิลปะบำบัดที่สามารถทำให้เด็กมีสมาธิที่ดีได้
ครูคนนั้นคือน้องสาวแท้ๆของตน
- ลูกสาวคิมนั้นก็ใช่ย่อย รู้ว่าพ่อแม่ของตนนั้นทำอะไรได้ดีกว่าการพับกล่องพิซซ่ารับค่าจ้างถูกๆไปวันๆ จึงวางแผนพาพวกเขาเข้ามากอบโกยที่บ้านนี้
เริ่มจากแอบถอดกางเกงในตัวเองทิ้งไว้ในรถของบ้านปาร์ค แล้วหลอกให้คุณนานมาเจอด้วยตัวเองจนคนขับรถถูกไล่ออกไป แล้วจึงแนะนำคนขับรถดีๆแก่คุณนายปาร์คและก็ได้ตอบรับเข้าทำงานทันที ซึ่งก็คือพ่อของตนเอง
จากนั้น เมื่อตนรู้ว่าแม่บ้านที่นี่แพ้ลูกพีชอย่างหนัก ก็จัดการขูดลูกพีชให้เป็นผง แล้วนำไปโปรยใส่ตอนแม่บ้านเผลอจนแพ้หนัก แล้วให้พ่อของตนสร้างเรื่องว่าลักษณะแบบนี้น่าจะเป็นโรคติดต่อ ปล่อยไว้คงไม่ดี คุณนายปาร์คจึงขับไล่แม่บ้านออก แล้วรับแม่บ้านคนใหม่ตามคำแนะนำของพ่อคิมเข้ามา ซึ่งก็คือคุณนายคิม ภรรยาของตนเองนี่แหละ
- จะเห็นได้ว่าครอบครัวคิมนั้น แม้จะยากจนและคิดฉวยโอกาส แต่ก็ไม่ได้โหดร้ายต่อครอบครัวปาร์คถึงขนาดโจรกรรม กลับใช้วิธีล่อลวงและลักลอบเข้ามาทำงานในบ้านนี้แทน ซึ่งแต่ละคนก็ทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย ชวนให้นึกถึงวาทกรรม “จนเพราะโง่ จนเพราะขี้เกียจ จนเพราะไร้ความสามารถ” ว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว ครอบครัวคิมขยันทำงาน และมีความสามารถที่ดีตามความถนัด แต่สิ่งที่ขาดคือ “โอกาส” ต่างหาก เพราะช่องทางต่างๆในการแสดงความสามารถไม่เอื้อต่อคนยากไร้ และนี่อาจทำให้คนจนจึงจนตลอดปีตลอดชาติ ไม่อาจยกระดับตนเองขึ้นมาได้เสียที
ครอบครัวคิมโชคดีที่เพื่อนของลูกชายหยิบยื่นโอกาสมาให้ จึงต้องรีบคว้าว้าแล้วขยายผลต่อชนิดน้ำขึ้นให้รีบตัก แม้จะด้วยวิธีทุจริตก็ยอมเป็นคนเลวเพื่อให้ตัวเองได้ดี ที่สำคัญคือวางแผนอย่างฉลาดล้ำ จนบางทีก็รู้สึกว่าฉลาดกว่าคนมีฐานะอย่างครอบครัวปาร์คด้วยซ้ำ สามารถทำให้คนทั้งบ้านปาร์คเชื่ออย่างสนิทใจ ขนาดว่าจะออกไปเที่ยวหลายวันยังฝากบ้านไว้กับคุณนายคิมที่เพิ่งเข้ามาทำงานไม่นานเลยทีเดียว
ซึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของหนังเรื่องนี้
- หลังครอบครัวปาร์คออกพ้นเขตบ้านไป ครอบครัวคิมจึงสวมรอยเข้ามาอยู่อาศัยเพื่อเสพสุขกับสิ่งของต่างๆภายในบ้านที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้กินได้ใช้อย่างนี้หรือไม่ ฉากนี้สะท้อนสุภาษิต “กิ้งก่าได้ทอง” ได้เป็นอย่างดี
- แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกริ่งดังขึ้นมา แล้วพบว่าแม่บ้านคนเก่ายืนอยู่หน้าบ้าน เรียกร้องว่าตอนออกมาลืมของไว้ คุณนายคิมใจดีขึงเปิดให้เข้ามา และพบว่ามีห้องลับที่จะลงไปยังใต้ดินของบ้าน นอกจากนี้ยังมีบุรุษลึกลับท่าทางสติไม่ดีอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งก็คือผัวของแม่บ้านเก่าที่แอบอยู่กินกันข้างใต้นี้มานาน แม่บ้านเก่าคุกเข้าขอร้องคุณนายคิมว่าอย่าไปบอกครอบครัวปาร์ค เห็นแก่คนยากจนเหมือนกัน
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเป็นคนเลวทั้งนั้นแหละ แต่ชะตาและโอกาสเรามีไม่เท่ากัน ดังนั้นการฉกฉวยโอกาสของผู้อับโชคจึงเกิดขึ้น และแทรกซึมไปยังสังคมชนชั้นต่างๆ ไม่เว้นกระทั้งชนชั้นนำ ซึ่งในหนังเรื่องนี้คืออาศัยอยู่ใต้ดินของบ้านเลย คือใกล้ตัวยิ่งกว่าใกล้อะ
- หรือแม้แต่การช่วงชิงกันเองของชนชั้นรากหญ้า ดังฉากที่คู่ผัวเมียแม่บ้านเก่าครอบครัวคิมต่อสู้กันเพื่อโอกาสของตนเอง เพราะคุณนายคิมไม่ยอม จะเอาเรื่องไปบอกเจ้าบ้านให้ได้ แทนที่ชนชั้นเดียวกันจะยอมตกลงกอบโกยร่วมกันแต่แรก ยิ่งตอกย้ำภาพกิ้งก่าได้ทองของครอบครัวคิมเข้าไปอีก
และเมื่อครอบครัวปาร์คกลับถึงบ้าน ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปหลบซ่อน
- ขณะที่ครอบครัวคิมซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ สามี-ภรรยาปาร์คก็กำลังร่วมรักบนโซฟาข้างๆ คล้ายเป็น symbolic ว่าขณะชนชั้นสูงกำลังเสพสุข ชนชั้นรากหญ้าต้องอยู่อย่างยากลำบาก
ระหว่างกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม คุณปาร์คก็หลุดปากถึงกางเกงในที่คุณนายเจอในรถ ว่ากางเกงเก่าๆโทรมๆตัวนั้นทำให้เขามีอารมณ์ได้ ยิ่งเป็นการตบหน้าครอบครัวคิมอย่างหนัก คล้ายจะบอกว่าชนชั้นล่างมีประโยชน์แค่ทำให้ชนชั้นสูงได้เสพสุขระดับสามัญเท่านั้น และแสดงถึงชนชั้นสูงเองก็ใช่ว่าจะมีความสุขกับของล้ำค่าเสมอไป บางคนก็มีรสนิยมเสพสุขกับสิ่งที่ด้อยสถานะกว่าได้เช่นกัน
หนำซ้ำคุณปาร์คยังพลั้งปากเกี่ยวกับเรื่อง ‘กลิ่น’ ที่เขาบอกว่าเป็นกลิ่นคนจนอันน่ารังเกียจ เหมือนเป็นการจุดชนวนระเบิดให้พ่อคิมไม่อาจทนถูกเหยียบย่ำอีกต่อไป
- เรื่องกลิ่นนี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจ มันสะท้อนว่าบางเรื่องเราเองก็เหยียดคนอื่นโดยไม่รู้ตัว เหยียดด้วยสภาพแวดล้อมเคยชิน เพราะเราเองก็ฉุกใจคิดเหมือนกัน และอยากให้ทุกคนได้ลองสำรวจตัวเองดูว่า เคยไหมที่เราได้กลิ่นจากชนชั้นแรงงาน (เช่น กลิ่นขยะจากพนักงานเก็บขยะ กลิ่นเหงื่อของคนงานก่อสร้าง กลิ่นอับชื้นจากวินมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ) แล้วเราจะรู้สึก ‘อี๋’ จนอยากหนีไปให้พ้น
นั่นแหละ แสดงว่าเรารับรู้ถึงความเหลื่อมล้ำเป็นอย่างดีและกำลังผลักไสคนบางกลุ่มออกไป กลายเป็นสนับสนุนให้เกิดความเหลื่อมล้ำโดยไม่รู้ตัว!?
- ตัดมายังบ้านคิมที่กำลังประสบอุทกภัย โดยปกติถ้าน้ำท่วมบ้าน เราจะต้องเอาสิ่งจำเป็นติดตัวออกมาก่อน แต่ลูกชายคิมกลับรีบคว้าหินนำโชคเป็นอันดับแรก แม้ใครจะทักว่ามันหนักเปล่าๆแต่เขาก็กอดแน่นไว้กับตัว แสดงให้เห็นถึงคนบางประเภทมักจะผูกชีวิตกับความเชื่อจนหลับหูหลับตาจากความเป็นจริง และส่วนมากมักเกิดกับคนจนที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา และอาศัยความเชื่อความศรัทธาเป็นหลักในการใช้ชีวิต (ดังที่เราจะเห็นคนบูชาวัวสองหัว งูสองหาง บูชาต้นไม้มงคล หรือแม้แต่เชื่อว่าการกินฉี่จะสามารถรักษาโรคได้จริง เป็นต้น ที่คนเชื่อมักเป็นชนชั้นรากหญ้า)
- ในฉากเดียวกัน ลูกสาวคิมที่เข้าไปปิดฟาชักโครก พลางจุดบุหรี่สูบท่ามกลางสายน้ำที่ไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาของคนแต่ละกลุ่มแต่ละชนชั้นไม่เหมือนกัน ในสถานการณ์เดียวกันมองปัญหาต่างกัน น้ำท่วมสูงระดับเอวเช่นนี้ ถ้าเป็นเราคงรู้สึกเป็นปัญหาใหญ่และรีบหาทางออกไปจากตรงนั้น ขณะเดียวกันลูกสาวคิมกลับเห็นปัญหาแค่น้ำทะลักออกจากชักโครก แค่ปิดฝาลงก็จบแล้ว แค่นั้น สูบบุหรี่ได้
- ตอนที่อยู่ในศูนย์อพยพร่วมกับคนอื่น คุณพ่อคิมเองก็เริ่มรู้สึกว่า ‘กลิ่น’ ที่คุณปาร์คเคยเอ่ยถึงคือเรื่องจริง สัมผัสได้จากผู้อพยพรอบตัวซึ่งมีสถานะยากจนเหมือนกัน นั่นแสดงว่าตัวคนจนเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ตัวนะ แต่เขาไม่มีทางเลือก ไม่มีรายได้มากพอจะหาโอกาสซื้อเสื้อผ้าดีๆ มีน้ำหอมสักขวดได้ เพราะมันสิ้นเปลืองเกินไปสำหรับฐานะอย่างเขา และเชื่อว่าพวกเขาเองก็คงรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา และเจ็บแค้นต่อความเหลื่อมล้ำนี้ไม่มากก็น้อย
แต่สำหรับคุณพ่อคิม มันมหาศาลจนขนาดก่ออาชญากรรมเพื่อชำระแค้นได้เลย ซึ่งจะมาว่ากันในฉากถัดไป
- ในขณะที่ครอบครัวคิมกำลังจัดการกับความอัตคัดในศูนย์อพยพ ครอบครัวปาร์คก็โทรศัพท์มาหาเพื่อชวนไปงานปาร์ตี้วันเกิดลูกชาย เป็นการตอกย้ำถึงความแตกต่างของชนชั้นทางสถานะจากฉากซ่อนตัวใต้โต๊ะเป็นอย่างดี หลังเหตุภัยพิบัติ คนจนนั้นตกอยู่ในสถานะผู้ประสพภัย ต้องจัดการกับความสูญเสียและความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ส่วนคนรวยนั้นกลับไม่ต้องคิดอะไรเลย แถมยังจัดงานรื่นเริงได้ลงคอ เหมือนเป็นการหยามครอบครัวคิมแบบอ้อมๆอีกด้วย
- งานวันเกิดกลางสวนในบ้าน จังหวะที่ลูกชายปาร์คเป็นลมล้มลงไป แล้วพ่อปาร์คเรียกให้พ่อคิม (ในฐานะคนขับรถ) รีบออกรถพาลูกชายไปโรงพยาบาล แต่พ่อคิมกำลังดูแลลูกสาวตัวเองที่โดนแทงไม่ยอมลุกไปไหน บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ว่าจะรวยหรือจน คนทุกคนย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องของตัวเองก่อนเสมอ หรือเรียกอีกอย่างว่าทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์คับขัน คือพ่อคิมไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยนะ แต่ลูกสาวตนเองสำคัญกว่า
- ต่อเนื่องด้วยจังหวะที่พ่อคิมโยนกุญแจรถออกไปตกอยู่ใกล้ๆกับศพฆาตกร แล้วพ่อปาร์คเอามือบีบจมูกแล้วค่อยๆเอื้อมไปหยิบกุญแจ แสดงถึงความเหม็น ‘กลิ่น’ ที่ตัวเองเคยพูดถึง กลายเป็นการกระทำที่ทะลุจุดเดือดของพ่อคิม ลุกจากตัวลูกสาวแล้วทำการฆาตกรรมคุณพ่อปาร์คต่อหน้าลูกเมียเขา ต่อหน้าลูกเมียตัวเอง และต่อหน้าทุกคนภายในงาน สะท้อนสภาวะความขาดสติ แม้จะเพียงวูบเดียวก็สามารถทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนผิดชอบชั่วดีได้ ถึงจะสำนึกผิดทีหลัง ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เหมือนที่พ่อคิมรู้ตัวทีหลังจึงรีบหนีไปหลบอยู่ชั้นใต้ดินของบ้านปาร์คไป
- อีกหนึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือการใช้รหัสมอส (Morse code) จากชั้นใต้ดินของผัวแม่บ้านมาจนถึงคุณพ่อคิม เพื่อขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก เหมือนจะสื่อว่าบางเรื่องชนชั้นล่างไม่อาจมีปากเสียงกับชนชั้นนำได้ เนื่องจากโอกาสและช่องทางการสื่อสารนั้นมีจำกัด จึงทำให้ชนชั้นนำเองก็ไม่สามารถรับรู้ปัญหาของชนชั้นล่างได้เลย การใช้ชีวิตของทั้ง 2 ชนชั้นจึงดำเนินไปแบบเส้นขนานที่ไม่รู้ว่าจะมาบรรจบกันได้เมื่อไร
- มาถึงฉากสุดท้ายของเรื่อง (ส่วนตัวชอบฉากนี้ที่สุด) ที่ลูกชายคิมตั้งเป้าว่าจะทำงานสุจริต หาเงินมาได้เยอะๆ แล้วซื้อบ้านหลังนั้นมาเป็นของตัวเอง เพื่อช่วยพ่อของตนกลับขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน ใช้ชีวิตครอบครัวที่สุขสบายต่อไป
ทว่า เป็นเพียงภาพที่ตัวเองกำลังนั่งฝันอยู่ภายในบ้านแคบๆหลังเดิม โดยยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปหางานอะไรทำ แสดงถึงความเพ้อฝันของคนจนบางคน ที่ชอบออกแบบชีวิตตัวเองในอุดมคติ ว่าถ้าฉันรวย ฉันจะใช้ชีวิตแบบไหนดีนะ โดยที่ไม่รู้ถึงหนทางที่จะนำไปสู่ความฝันนั้นด้วยซ้ำ!?
….
Parasite สะท้อนสังคมความเป็นจริงได้ดีมาก พร้อมตั้งคำถามว่าชนชั้นใดกันแน่ที่เป็นปรสิต ในเมื่อชนชั้นนำดูถูกชนชั้นล่างโดยสัญชาตญาณ ส่วนชนชั้นล่างเองก็ยอมจำนนต่อโชคชะตาแล้วก็ได้แต่ริษยาชนชั้นนำ และหาเรื่องแซะเขาเรื่อยไป
หากชนชั้นล่างจะหาความชอบธรรมจากชนชั้นนำที่มักเหยียดชนชั้นล่างด้วยสัญชาตญาณ ดังที่หนังเรื่องนี้นำเสนอเรื่อง ‘กลิ่น’ ก็คงจะยาก เพราะหนังก็สะท้อนให้เห็นว่าครอบครัวคิมเองก็มีพฤติกรรมไม่ต่างกับที่ครอบครัวปาร์คที่กระทำกับตนเอง จากฉากที่มีคนเร่ร่อนมาปล่อยปัสสาวะหน้าบ้านแล้วครอบครัวคิมพยายามขับไล่เยี่ยงสุนัขข้างถนน
แล้วคุณล่ะ คิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
Comments