top of page
Featured Posts

[HUMANGA] นิโค โรบิน : คนมองโลกในแง่ร้ายและการต่อสู้กับเบื้องบน

  • สินิทธ์ ปนุตติกร
  • Jun 20, 2018
  • 1 min read

(1)

คงเคยได้ยินใครบอกให้เราพยายามเลี่ยงคนที่มีนิสัยชอบมองโลกในแง่ร้าย เพราะเขาจะคอยสูบพลังงานชีวิตเรา อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอึดอัดและหดหู่ตลอดเวลา

ทว่าไม่ใช่สิ่งที่ ลูฟี่ พึงกระทำกับ นิโค โรบิน

(2)

ต้องยอมรับว่า One Piece กลายเป็นการ์ตูนแห่งยุคสมัยไปแล้ว (เช่นเดียวกับ Doraemon หรือ Dragon Ball) เรื่องราวของเหล่าโจรสลัดที่ออกเรือตามล่าสมบัติ ซึ่งก็มีตัวละครมากมายที่น่าสนใจ แต่ผมกลับหลงใหลในตัวเธอคนนี้เหลือเกิน

นิโค โรบิน มีอดีตอันขมขื่น เธอคือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากการสังหารล้างเผ่าพันธุ์อย่างถูกกฎหมาย และโดนหมายจับ (ตาย) ตั้งแต่อายุแค่ 8 ขวบ ด้วยค่าหัวสูงระดับเทียบเท่ากับ 7 เทพโจรสลัด โทษฐานมีความสามารถพิเศษที่จะแฉเรื่องราวในอดีตที่รัฐบาลพยายามปกปิดได้

เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง กับค่าหัวอันสูงลิ่ว ไม่มีบ้าน ไม่มีญาติมิตร โรบินต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนหาที่พึ่งพิงไปวันๆ บ้างก็ขอเขาอาศัยอยู่ บ้างก็ต้องลักลอบเข้าบ้านคนอื่น และบ่อยครั้งที่ต้องนอนข้างทางกลางแจ้ง แต่ไม่ว่าเอจะไปที่ไหนก็จะถูกตามล่าตลอด เจอคนใจดีให้ที่พักอาศัยก็ต้องโดนหักหลังเพื่อหวังค่าหัวทุกครั้งไป

ชีวิตของเธอเป็นเช่นนี้มาตลอดกว่าสิบปี

ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว เธอไม่เคยได้ “ยิ้ม” หรือ “หัวเราะ” เลย....จนกระทั่งมาพบกับกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง “ลูฟี่” ที่ให้อยู่ร่วมกันเช่นมิตรสหายอย่างถาวร

จากประสบการณ์ตลอดชีวิตของโรบิน จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเธอจึงกลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยนิสัย และไม่ต้องสงสัยหากใครจะผลักไสเธอออกไป แต่มันน่าสนใจตรงที่พวกลูฟี่กลับได้ประโยชน์จากคำพูดที่มีแต่เรื่องร้ายๆของโรบินในบางสถานการณ์

(3)

นักธุรกิจท่านหนึ่งได้เผยเคล็ดลับของความสำเร็จไว้ข้อนึงว่า “ไม่ว่าจะวางแผนทำอะไรก็ตาม ให้คำนึงถึง ‘worst case’ เอาไว้ด้วย”

นั่นหมายถึงให้เราเตรียมใจไว้สำหรับสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผน เพื่อให้พร้อมรับมือกับมันได้ทันท่วงทีอย่างมีสติ ไม่เช่นนั้นเราอาจตระหนกตกใจกับความ “ผิดแผน” จนหมดปัญญาที่จะแก้ไขปัญหา และอาจทำให้ทุกอย่างที่เคยสร้างมาต้องทลายกลายเป็นศูนย์หรือติดลบได้

ไอ้การคำนึงถึง worst case นี่แหละ คือการวางแผนสำหรับกรณีที่เกิดเหตุเลวร้ายที่สุด ซึ่งก็คือการมองโลกในแง่ร้ายนี่เอง หรือจะให้พูดในอีกความหมายก็คือ เราควรฝึกมองโลกในแง่ร้ายให้เป็น แล้วใช้ประโยชน์จากมันให้ได้

แสดงให้เห็นว่าการมองโลกในแง่ร้ายไม่ได้มีแต่ข้อเสียเพียงด้านเดียว แต่มันทำให้เราได้ศึกษามุมมองด้านลบ ทำความรู้จักไว้ล่วงหน้า จะได้เผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้พลังงานลบมาทำลายพลังงานด้านบวกที่มีอยู่ให้น้อยที่สุด

เช่นกันกับพรรคพวกของลูฟี่ที่ไม่เคยสะทกสะท้านกับช่วงเวลาอันย่ำแย่ อย่างน้อยที่สุดก็มีโรบินหนึ่งคนล่ะ ที่ยังคงนิ่งและไม่เคยหวั่นไหวต่อสถานการณ์ใดๆเลย

และพวกเขาก็สามารถผ่านมันไปได้อย่าง happy ending ทุกครั้ง

(4)

อีกด้านที่ผมประทับใจในตัว นิโค โรบิน คือการเป็นตัวละครที่แสดงสัญญะถึงการต่อสู้กับอุดมการณ์ของรัฐบาล

โดยเฉพาะรัฐบาลทหาร!?

หากสังเกตกันดีๆ รัฐบาลทหารทุกยุคสมัยมักจะบริหารประเทศโดยมองเรื่องความมั่นคงเป็นที่ตั้ง มากกว่าบริหารเพื่อให้ก้าวไปข้างหน้า คล้ายจะเป็นวิสัยทัศน์ของทหารที่มุ่งรักษาความปลอดภัยไว้เป็นอันดับต้นๆ ซึ่งไอ้ความมั่นคงหรือความปลอดภัยเนี่ย บางทีมันก็ผกผันไปตามอุดมการณ์ของผู้นำคนนั้นๆ สิ่งใดที่ต่างไปจากอุดมการณ์จะถือว่าไม่ปลอดภัย และกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่ต้องกำจัดในบัดดล

เหตุที่บ้านเกิดของ นิโค โรบิน ต้องถูกกำจัด เพราะบนเกาะนี้มีนักวิชาการที่คอยแกะรอยประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลพยายามปกปิดอยู่ และเก็บข้อมูลไว้ในห้องสมุดขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย รัฐบาลจึงต้องทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมทั้งทำลายทุกสิ่งบนผืนแผนดินนี้ ไม่ให้มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ ราวกับว่าจะทำให้เกาะนี้หายไปจากแผนที่ ด้วยเหตุผลที่ว่าประชาชนบนเกาะแห่งนี้ “รู้มากไป” และจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐบาล

ซึ่งการทำลายล้างครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างลับๆ ไม่มีใครรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีก็แค่ นิโค โรบิน เด็กหญิงผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบาดแผลในใจมาตลอด

เอ ฟังดูคล้ายๆเหตุการณ์ในบ้านเราบ้างไหม

ในยุคสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกฯ เคยมีการกำหนดให้วรรณกรรมหลายเรื่องเป็นหนังสือต้องห้าม บางเล่มถูกนำไปเผาทิ้ง เพราะเกรงว่าจะขัดต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นเพียงความมั่นคงในอุดมคติของรัฐบาลชุดนั้น เพราะหลังจากเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 14 ตุลาฯ 2516 จบลง จึงได้พบว่าวรรณกรรมเหล่านั้นงดงามและมีคุณค่าเพียงใด

หรือความพยายามกลบเกลื่อนว่าการสังหารหมู่หรือการพยายามล้างเผ่าพันธุ์ (ที่ตอนนั้นเขาอ้างด้วยคำว่า “พวกคอมมิวนิสต์”) ในวันที่ 6 ตุลาฯ 2519 นั้นไม่เคยเกิดขึ้น ให้ลืมไปว่าเราเคยฆ่ากันด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เคยจับแขวนคอกับต้นไม้ แล้วเอาสิ่งของฟาดปาใส่กัน ทั้งที่มีคนรุมล้อมและคอยสนับสนุน (มีภาพเยาวชนยืนมองอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มร่าด้วยนะ) เคยยิงกัน เคยเผามนุษย์ด้วยกัน เคยล่วงละเมิดทางเพศกัน ในที่สาธารณะโดยไม่มีใครห้าม

รัฐพยายามจะปลูกฝังกับคนรุ่นหลัง ว่าประเทศนี้ไม่เคยมีความโหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานใดๆเกิดขึ้นทั้งสิ้น (ทั้งๆที่มีรูปภาพเป็นหลักฐานชัดเจน ซึ่งทั่วโลกรู้เห็นกันหมด)

แต่เรื่องราวอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างนำไปสู่ความรุนแรงและความสูญเสีย ยังคงเกิดขึ้นในบ้านเราครั้งแล้วครั้งเล่า

ก็ในเมื่อรัฐบาลพยายามปิดกั้นไม่ให้เรารู้จักอดีตที่ผ่านมา เราจึงไม่เคยได้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์อย่างถ่องแท้ อันนำไปสู่การแก้ไขเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก

แล้วชาติจะก้าวหน้าได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขายังบริหารประเทศบนความ “กลัว” อยู่อย่างนี้

กลัวว่าสิ่งต่างๆจะมากระทบต่อความมั่นคง (ในอุดมคติ) ของเขา (ในฐานะตัวแทนของ “ชาติ”)

ซึ่งในการ์ตูน โรบินและพวกพ้องยังคงต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้ต่อไป

แต่ในชีวิตจริงเราทำอะไรได้บ้าง?

ในเมื่อตอนนี้ก็ยังมีมาตรา 44 ค้ำจุนสำหรับความกลัวของรัฐอยู่

แล้วเราต้องอยู่ในระบบ “กะลานิยม” นี้ไปถึงเมื่อไร?

(5)

รัฐบาลโลกในการ์ตูน one piece กลัวว่าพวกลูฟี่จะเข้ามาปกครองท้องทะเล แล้วมีอำนาจเหนือกว่าพวกเขา กลัวว่าประวัติสาสตร์ที่เคยปกปิดจะถูกเปิดเผย กลัวจะสูญเสียภาพลักษณ์ที่อุตส่าห์สร้างกันมา กลัวว่าศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลจะเสื่อมคลาย

ทั้งที่พวกลูฟี่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย พวกเขาแค่ต้องการมี “อิสระ” ที่สุดในท้องทะเลเท่านั้นเอง

แล้วรัฐบาลไทยในชีวิตจริงล่ะ กลัวอะไรกันอยู่??

Comentarios


บทความที่น่าสนใจ

กลุ่มนัก(อยาก)เขียนห้าคน ที่ตกลงกันว่าจะเขียนอย่างน้อยคนละ 5 หน้า

contact us

unnamed.png
580b57fcd9996e24bc43c521.png
logo-gmail-9952.png

f i v e p a g e s a t l e a s t @ g m a i l . c o m

© 2023 by Noah Matthews Proudly created with Wix.com

bottom of page