top of page
Featured Posts

[ความสงสัยไม่รู้จบ] ทำไมไม่อยากโสด

  • สินิทธ์ ปนุตติกร
  • Feb 7, 2018
  • 1 min read

มีโอกาสได้ดูรายการ วัฒนธรรมชุบแป้งทอด ตอน “โสดกันเถิดเรา” แล้วรู้สึกว่าทำไมคนไทยถึงมองว่าความโสดเป็นปัญหา แล้วทำไมจึงกลัวการไม่มีคู่นัก โดยเฉพาะกลุ่มคนในรุ่นราวคราวเดียวกับผม มิตรสหายหลายคนทีเดียวที่เป็นกังวลกับการขึ้นคานเหลือเกิน (ในรายการถึงกับเชิญ ดร. ด้านประชากรศึกษามาร่วมให้ข้อมูลด้วย)

อันที่จริง เรื่องทัศนคติด้านลบต่อความโสดนั้น มีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิง หากสาวไทยคนใดที่ไม่ได้แต่งงาน จะถูกมองอย่างเหยียดหยามว่าไม่มีคุณสมบัติของความเป็นกุลสตรีที่ดี จนไม่มีใครเอาไปทำเมีย ประเพณีคลุมถุงชนจึงเกิดขึ้นในเวลาต่อมา เพื่อแก้ปัญหานี้

ทั้งนี้ สตรีไทยสมัยก่อนยังถูกคาดหวังในการเป็นแม่บ้านที่ดี จนมีคำกล่าวว่า “อยู่กับเหย้า เฝ้ากับเรือน” ปล่อยให้หน้าที่การออกไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเป็นของฝ่ายชายไป (ในกรณีมีฐานะดีนะ ส่วนหญิงใดฐานะไม่ดีก็ปากกัดตีนถีบกันไป)

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สตรีไทยเริ่มได้รับการศึกษามากขึ้น มีความสามารถในการทำงานมากขึ้น ยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองโดยไม่ต้องรอให้ผู้ชายมาเลี้ยงฝ่ายเดียวอีกต่อไป หญิงไทยสมัยนี้จึงมีทิศทางในการใช้ชีวิตมากกว่าเดิม และยังมีบทบาทในสังคมก็มีมากขึ้นจนเทียบเท่าผู้ชาย ทำให้ผู้หญิงสมัยใหม่มีสิทธิ์ในการเลือกคู่ครองได้เองโดยไม่ต้องง้อให้ใครมาดูตัว ประเพณีคลุมถุงชนจึงหายไปโดยปริยาย

สิ่งที่ตามมาก็คือ อัตราการสมรสลดน้อยลงจากสมัยก่อนไปมาก คนโสดจึงมีมากขึ้นในสังคม จนถูกมองว่าเป็นปัญหาในที่สุด

ไม่เพียงเท่านั้น มันยังมีปัญหาที่คุณอาจไม่รู้แอบแฝงอยู่ นั่นก็คือ ความไม่สมดุลของประชากรเพศหญิงและชาย

จากสถิติของนักประชากรศาสตร์ บ่งชี้ว่าสัดส่วนของประชากรเพศชายและหญิงมีความต่างกัน เนื่องจากผู้ชายสมัยนี้มีอัตราการเสียชีวิตในวัยเจริญพันธุ์ (อายุ15-30) มากขึ้น ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา เมื่อสัดส่วนไม่เท่ากัน ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย การเข้าคู่จึงไม่สมดุลกัน ทำให้ผู้หญิงบางคนต้องยอมจำนนต่อสภาพไร้คู่ไปอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งสมัยนี้มีการเปิดรับเพศทางเลือกมากขึ้น ยิ่งทำให้สมดุลของหญิงชายพังทลายลงไปอีก (ขอบคุณข้อมูลจากรายการ วัฒนธรรมชุบแป้งทอด ด้วยครับ)

ถึงตรงนี้ ผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงกังวลเรื่องการไม่มีคู่ แต่ก็คิดต่อไปอีกว่า แล้วเราจะภูมิใจในความโสดได้หรือไม่ ในเมื่อปัจจุบันคนเป็นโสดก็ไม่ได้ถูกมองในแง่ลบอย่างสมัยก่อนแล้ว

....

ตัวผมเองก่อนที่จะมีแฟน ก็ไม่เคยคิดที่จะมีใครมาก่อน ไม่คิดว่าความรักคือสิ่งสำคัญของชีวิต เคยรักแล้วมันเป็นทุกข์ จึงดำเนินชีวิตตามความสุขดีกว่า โดยความสุขหลักๆ ของผมก็คือ ความอิสระ และแน่นอน เมื่อเราพูดถึงความอิสระ ก็ต้องหมายถึงความเป็นปัจเจก ความไม่มีพันธะ ซึ่งถ้าหากลงลึกเข้าไปอีก ก็อาจมีความหมายกลายๆ ว่า การไม่มีแฟน

ต้องยอมรับว่า สมัยยังไม่มีแฟนชีวิตผมแฮปปี้มาก ได้ทำอะไรต่ออะไรที่อยากทำอย่างไม่ต้องสนใจใคร เดินห้างคนเดียว ดูหนังคนเดียว ช็อปปิ้งคนเดียว ทำงานคนเดียว ฯลฯ ทุกอย่างด้วยตัวเราเองคนเดียว โดยไม่เคนชวนเพื่อนๆ มาแจมด้วย ส่วนหนึ่งเพราะเรารักความสันโดษ และอีกส่วนคือรสนิยมเรามักไม่เหมือนใคร จึงไม่ค่อยสบายใจเท่าไรหากมีใครมาด้วยแล้วเราต้องสูญเสียความเป็นตัวเองไป

คือผมเป็นคนหวงโลกส่วนตัวมาก จึงหวงความอิสระมากตามไปด้วย

ในมุมมองการใช้ชีวิตของผม ความสุขคือความอิสระ เช่นเดียวกันกับความรัก เราต้องมีอิสระในระหว่างที่มีความรัก เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกไม่มีอิสระ ก็ไม่ต้องไปรักมันหรอก เป็นสุขกับความโสดดีกว่า

บางคนอาจบอกว่า อยากมีแฟนเพราะกลัวเหงา ไม่ชอบความเหงาเลย....

สมัยยังโสด ความเหงาทำอะไรผมไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะผมมีความชัดเจนในสิ่งที่อยากทำด้วยมั้ง จึงมีอะไรให้ทำคลายเหงาตลอด และอีกอย่าง ในขณะที่ผมมีแฟน บางครั้งก็ต้องการความเหงาเหมือนกัน คุณเองก็คงมีบ้างใช่ไหม ที่บางเวลาอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว

....

เพื่อนพี่น้องหลายคน (โดยเฉพาะผู้หญิง) บอกว่าอยากแต่งงาน และอยากมีลูก....

ผมมองเรื่องนี้ว่า มันเป็นส่วนหนึ่งของ pop culture ที่ใช้ชีวิตกันเป็นแพทเทิร์นเดียวกันหมด เช่น เรียนหนังสือ จบออกมาก็ทำงาน เก็บเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน ฯลฯ การแต่งงานและมีลูกก็เป็นหนึ่งในนั้น

การแต่งงาน คงไม่ต้องพูดถึงว่ามันสิ้นเปลืองขนาดไหน (เรื่องนี้เขียนแยกไว้อีกตอนแล้ว) ส่วนการมีลูก เคยมีคำกล่าวที่ว่า “มีลูกไว้คอยดูแลเราตอนแก่” ถามหน่อยว่า แล้วลูกมันน่ารักเหมือนกันทุกคนหรือเปล่า? พึ่งพาได้เหมือนกันทุกคนไหม??

เข้าใจว่าการสืบพันธุ์คือเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อสร้างชีวิตใหม่ พัฒนาโลกนี้ให้เจริญต่อไป แต่ผมเห็นว่าปัจจุบันเรามีประชากรมนุษย์มากเกินไปแล้ว จนเริ่มมีมนุษย์ที่ไม่ถูกระบุว่าเป็นมนุษย์ (เช่น กลุ่มโรฮิงยา) และอีกอย่าง โลกนี้มันเจริญเกินไปจนทรัพยากรธรรมชาติจะไม่พอใช้อยู่แล้ว เมื่อมีจำนวนจำกัด จึงเกิดการแข่งขันแก่งแย่งช่วงชิงกัน อาจเลยเถิดไปถึงรบราฆ่าฟันกันได้

น่าตลกไหม ที่มนุษย์พยายามสร้างชีวิตเพิ่มขึ้นใหม่ เพื่อมาทำลายชีวิตให้หายไปเสียเอง

....

ยังมีเหตุผลอีกร้อยแปดที่ทำให้เราอยากมีแฟน แต่ที่ผมเขียนมานี้ ต้องการจะสื่อว่ามีเหตุผลอีกพันเก้าเช่นกันที่จะทำให้เราภูมิใจในความโสด โสดก็มีความสุขได้ (เผลอๆ มีมากกว่าคนไม่โสดเสียอีก) เพราะฉะนั้น อย่าได้กังวลไปหากชีวิตนี้จะไร้คู่ขึ้นมาจริงๆ เราสามารถขึ้นคานอย่างโดดเด่นเป็นสง่า จนคนมีคู่ยังต้องอิจฉาได้

ส่วนในเรื่องที่ว่า ความโสดนั้นเป็นปัญหา ผมมองว่าสมัยนี้อาจเป็นเรื่องของผลกระทบที่ตามมามากกว่า ไม่ใช่การดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างสมัยก่อน

ปัญหาที่ว่า คือเรื่อง aging society หรือสังคมผู้สูงอายุนั่นเอง

สมัยนี้ผู้คนเริ่มแสวงหาความอิสระมากขึ้น จึงมีค่านิยมของการอยู่คนเดียว(เป็นโสด)เพิ่มมากขึ้น (สาเหตุนึงที่กิจการหอพักหรือคอนโดที่เติบโตขึ้นทุกทีก็เพราะเรื่องนี้แหละ) เมื่อเป็นโสดกันมากขึ้น อัตราการเกิดก็ลดลง เมื่อการเกิดลดลง ย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาประชากรผู้สูงอายุล้นประเทศขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศญี่ปุ่น อย่างที่รู้กันว่าชาวญี่ปุ่นค่อนข้างมีจิตสำนึกในการรับผิดชอบต่อตนเอง ยิ่งมีธุรกิจของหนัง AV หรือ sex toy อย่างถูกกฎหมาย ยิ่งทำให้มีอัตราความต้องการร่วมรักกับผู้อื่นน้อยลง แล้วยิ่งคนญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องอายุยืนแล้วด้วย จึงเสี่ยงมากต่อการประสบปัญหาสังคมผู้สูงอายุ (ซึ่งบ้านเราเองก็มีธุรกิจขายบริการทางเพศเป็นที่เลื่องลือ ต่างกันที่คนซื้อบริการส่วนใหญ่มีแฟนแล้ว หากแต่เบื่อในรสชาติของ sex กับแฟน ประมาณว่าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง อะไรทำนองนั้น)

สำหรับประเทศไทย ผมมองว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ขนาดที่จะต้องแก้ไขโดยเร็ว ยังมีปัญหาสังคมอีกมากมายที่ควรเร่งคลี่คลายโดยด่วนกว่าเรื่อง aging society (แต่ในอนาคตมันควรจะเป็นวาระแห่งชาติเลยนะ เพราะส่งผลกระทบหลายอย่างมากๆ)

....

สุดท้าย อยากฝากอะไรไว้สักหน่อย ว่าแนวคิดที่ว่า “โสด = เหงา” เนี่ย เป็นค่านิยมมาตั้งแต่ศตวรรษที่19 ถึงตรงนี้ก็ล่วงเลยมาเท่าไร ยุคสมัยเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว ใครที่ยังคิดแบบนี้อยู่นี่....

คุณช่างล้าสมัยเสียจริง!?

ป.ล. มีผลสำรวจว่า ผู้หญิงโสดมีโอกาสร่ำรวยมากกว่าผู้หญิงแต่งงานแล้ว อันนี้จริงหรือไม่คงบอกไม่ได้ แต่น่าจะทำให้คนที่เตรียมขึ้นคานถาวรมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง

Comentários


บทความที่น่าสนใจ

กลุ่มนัก(อยาก)เขียนห้าคน ที่ตกลงกันว่าจะเขียนอย่างน้อยคนละ 5 หน้า

contact us

unnamed.png
580b57fcd9996e24bc43c521.png
logo-gmail-9952.png

f i v e p a g e s a t l e a s t @ g m a i l . c o m

© 2023 by Noah Matthews Proudly created with Wix.com

bottom of page